
ไฟตัดหมอกจะใช้ไฟที่ให้ความสว่างสูง ส่วนใหญ่หลอดจะเป็นสปอตไลท์ ส่องในระนาบขนานกับพื้นถนนหรือตกพื้นในระยะไกล ดังนั้นความสว่างจึงมีมากและไปได้ไกล เพราะหลอดไฟหน้ามุมจะตกลงพื้นถนน แต่ไฟตัดหมอกจะส่องขนานไปกับพื้นถนนหรือตัวรถ หลอดไฟหน้าปกติถ้าเปิดส่องในขณะที่หมอกจัดหรือ ฝนตกหนักเพราะมุมที่เอียงลงจึงทำให้เกิดมุมสะท้อนกลับสู่สายตาของผู้ขับขี่ จึงทำให้แสงที่ส่องผ่านไปมีน้อยหรือมองเห็นแค่ในระยะไม่เกิน 10-15 เมตร แถมแสบตากับแสงที่สะท้อนกลับ แต่ไฟตัดหมอกที่ส่องแบบขนานพื้นจะไม่สะท้อนมาที่ห้องโดยสารสามารถทะลุทะลวงได้มาก และสะท้อนกลับมาก็ในมุมที่ไม่กระทบผู้ขับขี่ ทำให้มองเห็นได้ในระยะมากกว่า 30-80 เมตร
ในทำนองเดียวกันเมื่อพื้นถนนเปียกหรือฝนหยุดตกใหม่ๆในตอนกลางคืน ไฟหน้าปกติที่ส่องลงผิวถนนจะถูกพื้นน้ำสะท้อนออกไปในอีกมุมนึงบางครั้งเหมือนกับว่าแทบจะมองไม่เห็นผิวถนนด้วยซ้ำไป แต่ไฟตัดหมอกที่แทบจะไม่ส่องลงพื้นถนนยังสามารถมองเห็นผิวถนนในระยะสายตาได้อย่างชัดเจน ซึ่งในแถบประเทศเขตเมืองหนาวได้ออกกฏบังคับให้รถทุกคัน ต้องมีไฟตัดหมอกเป็นอุปกรณ์มาตรฐานความจริงไฟตัดหมอกมีมานานแล้ว แต่ในเมืองไทยยังไม่เป็นที่นิยมเพราะราคาแพงและไม่มีความจำเป็น จึงมีให้เห็นเฉพาะกับรถนำเข้าจากเขตเมืองหนาวหรือเขตเมืองที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากๆ เท่านั้น
ต่อมาค่านิยมเริ่มเปลี่ยนไป เพราะการติดไฟตัดหมอกถือว่าเท่และทันสมัย ประกอบกับบราคาที่ถูกลงจึงมีการหาซื้อมาดัดแปลงติดตั้งเพิ่มเติมกัน แม้แต่รถที่ผลิตในเมืองไทยก็ยังนิยมติดไฟตัดหมอก ปัจจุบันคนไทยนิยมตกแต่งรถด้วยไฟตัดหมอก และมักเปิดใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ผิดวิธี ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้เส้นทางรายอื่นๆ กล่าวคือ ไฟตัดหมอก เป็นไฟที่ให้ความสว่างสูง ส่วนใหญ่หลอดจะเป็สปอตไลท์ จึงสามารถส่องสว่างไปได้ไกล ซึ่งหากเปิดใช้ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม แสงจากหลอดไฟตัดหมอก จะไปแยงและ รบกวนสายตาผู้ที่ขับรถสวนทางมา ทำให้ตาพร่ามัว จึงมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้สูงกว่าปกติ
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยตามหลักมาตรฐานสากล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงขอเสนอแนะให้ผู้ขับรถเปิดใช้ไฟตัดหมอก อย่างปลอดภัยและถูกวิธี โดยให้เปิดใช้ไฟตัดหมอกในกรณีต่างๆ ดังนี้
1. ฝนตกปรอยๆ หรือตกหนัก ไฟตัดหมอกจะมีประโยชน์มาก แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตามเพราะมันสามารถช่วยให้รถที่สวนมามองเห็นไฟตัดหมอกอย่างชัดเจน
2. เมื่อขึ้นภูเขาสูงหรือยอดเขา เช่นภูเรือ-ดอยสุเทพ เป็นต้น โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวทั้งตอนเช้าและ ตอนกลางคืน เพราะที่สูงๆนั้นหมอกจะมีมากกว่าปกติ
3. ในช่วงกลางคืนหลังฝนหยุดตกหรือถนนยังเปียกอยู่ ซึ่งไฟตัดหมอกจะช่วยให้ทัศนะวิสัยในการขับขี่ของ ดีขึ้น เพราะไฟหน้าปกติของเราถูกน้ำสะท้อนไปเกือบหมดแล้ว
4. ทุกกรณีที่มีหมอกหรือควันเกิดขึ้นบนท้องถนนที่บดบังทัศนะวิสัยให้มองเห็นได้น้อยกว่า 50เมตร
5. ปิดไฟตัดหมองทันทีที่มีรถสวนมา ในระยะที่มองเห็นไฟหน้าของรถที่สวนมาได้อย่างชัดเจน
แม้แต่รถที่มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติก็จะสั่งปิดไฟตัดหมอกคงไว้เฉพาะไฟปกติเมื่อสัญญานจับได้ว่ามีไฟสะท้อนมาในมุมตรงข้าม สุดท้ายนี้ จะเห็นได้ว่า การใช้ไฟตัดหมอกอย่างถูกวิธี จะก่อให้เกิดประโยชน์และช่วยเพิ่มความปลอดภัย ในการใช้รถใช้ถนน ทำให้สามารถมองเห็นรถคันอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน ในทางตรงกันข้าม การเปิดไฟตัดหมอกอย่างพร่ำเพรื่อ ไม่มีมารยาท และผิดวิธี นอกจากจะรบกวนสายตาและสร้างความรำคาญให้กับผู้ขับรถรายอื่นๆ ที่ร่วมใช้เส้นทางแล้ว ยังเพิ่มโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าปกติอีกด้วย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงขอให้ท่านเจ้าของรถที่ติดตั้งไฟตัดหมอก เปิดใช้อย่างถูกวิธีและใช้เฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น ตลอดจนต้องมีความเอื้ออาทร ขับรถอย่างมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทาง ก็จะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดอุบัติภัยทางท้องถนนได้....
เตือนใช้ไฟตัดหมอก ตำรวจจับ ปรับได้
พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ดูแลงานด้านการจราจร เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากประชาชน เรื่องการใช้ไฟตัดหมอกของรถต่างๆ ที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ซึ่งปัจจุบันรถที่ผลิตขึ้นจะมีไฟตัดหมอกติดมากับตัวรถในตำแหน่งและลักษณะที่ถูกต้อง ตามกฎหมาย แต่พบว่าการเปิดไฟดังกล่าวรบกวนทัศนวิสัยการขับรถของผู้อื่นและอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่ตั้งใจติดไฟโดยใช้สีสันให้สะดุดตาและผู้ขับขี่บางคนที่เผลอไปเปิดไฟดังกล่าวโดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากตำแหน่งสวิตช์อยู่ใกล้จุดเปิดปิดไฟหน้า
ในเรื่องนี้การใช้ไฟตัดหมอกที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2536 ได้มีการระบุการใช้ไฟตัดหมอก สามารถใช้ได้ต่อเมื่อรถวิ่งอยู่ในสภาวะที่มีหมอก ควัน หรือฝุ่นละอองจนเป็นอุปสรรค อันอาจเกิดอันตรายในขณะขับรถและต้องไม่มีรถอยู่ด้านหน้าหรือ สวนมาในระยะของแสงไฟ หรือในระยะ 150 เมตร โดยสามารถใช้หลอดไฟแสงขาวหรือแสงเหลือง ที่มีกำลังไฟไม่เกินดวงละ 55 วัตต์ เท่านั้น หากมีการใช้ไฟตัดหมอกไม่เป็นไปตามประเภท ลักษณะและเงื่อนไขที่กำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท
กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๒๒)
ข้อ ๒ รถยนต์ต้องมีโคมไฟหน้ารถและโคมไฟท้ายรถ ดังต่อไปนี้
(๑) โคมไฟหน้ารถมี ๓ ประเภท คือ
(ก) โคมไฟแสงพุ่งไกล ให้ติดหน้ารถข้างละหนึ่งดวงสูงจากพื้นทางราบถึงจุดศูนย์กลางดวงโคมไม่น้อยกว่า ๐.๖๐ เมตร แต่ไม่เกิน ๑.๓๕ เมตร โคมไฟทั้งสองข้างต้องอยู่ในระดับเดียวกันใช้ไฟแสงขาวมีกำลังไฟเท่ากันไม่เกินดวงละ ๕๐ วัตต์ มีแสงสว่างให้เห็นพื้นทางได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า ๑๐๐ เมตร ศูนย์รวมแสงต้องไม่สูงกว่าแนวขนานกับพื้นทางราบ และไม่เฉไปทางขวา ในกรณีที่เป็นรถยนตร์สามล้อให้ใช้โคมไฟประเภทนี้เพียงดวงเดียวโดยติดไว้ที่กลางหน้ารถ
(ข) โคมไฟแสงพุ่งต่ำ ให้ติดหน้ารถข้างละหนึ่งดวง สูงจากพื้นทางราบถึงจุดศูนย์กลางดวงโคมไม่น้อยกว่า ๐.๖๐ เมตร แต่ไม่เกิน ๑.๓๕ เมตร โคมไฟทั้งสองข้างต้องอยู่ในระดับเดียวกันใช้ไฟแสงขาวมีกำลังไฟเท่ากันไม่เกินดวงละ ๕๐ วัตต์ มีแสงสว่างให้เห็นพื้นทางได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า ๓๐ เมตร ศูนย์รวมแสงต้องอยู่ต่ำกว่าแนวขนานกับพื้นทางราบไม่น้อยกว่า ๒ องศา หรือ ๐.๒๐ เมตร ในระยะ ๗.๕๐ เมตร และไม่เฉไปทางขวา ในกรณีที่เป็นรถยนตร์สามล้อให้ใช้โคมไฟประเภทนี้เพียงดวงเดียว โดยติดไว้ที่กลางหน้ารถ
(ค) โคมไฟเล็ก ให้ติดหน้ารถอย่างน้อยข้างละหนึ่งดวง โดยให้อยู่ด้านริมสุดแต่จะล้ำเข้ามาได้ไม่เกิน ๐.๔๐ เมตร โคมไฟทั้งสองข้างต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟแสงขาวหรือแสงเหลือง มีกำลังไฟเท่ากันไม่เกินดวงละ ๑๐ วัตต์ และต้องมีแสงสว่างสามารถมองเห็นได้จากระยะไม่น้อยกว่า ๑๕๐ เมตร
โคมไฟแสงพุ่งไกล โคมไฟแสงพุ่งต่ำ และโคมไฟเล็ก จะรวมอยู่ในดวงเดียวกันก็ได้
รถคันใดจะมีโคมไฟหน้ารถเพื่อใช้ตัดหมอกก็ได้โดยให้ติดหน้ารถข้างละหนึ่งดวงอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟแสงขาวหรือแสงเหลือมีกำลังไฟเท่ากัน ไม่เกิน ดวงละ ๕๕ วัตต์ สูงจากพื้นทางราบไม่เกินกว่าระดับโคมไฟแสง พุ่งไกลและโคมไฟแสงพุ่งต่ำ ศูนย์รวมแสงต้องอยู่ต่ำกว่าแนวขนานกับพื้นทางราบไม่น้อยกว่า ๒ องศา หรือ ๐.๐๒ เมตร ในระยะ ๗.๕๐ เมตร และไม่เฉไปทางขวา (เพิ่มเติมตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๕ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ข้อ ๑)
(๒) โคมไฟท้ายรถ มี ๓ ประเภท คือ
(ก) โคมไฟท้าย ให้ติดท้ายรถอย่างน้อยข้างละหนึ่งดวง โคมไฟทั้งสองข้าง
ต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟแสงแดดมีกำลังไฟเท่ากัน และมีแสงสว่างสามารถมองเห็นได้
จากระยะไม่น้อยกว่า ๑๕๐ เมตร
(ข) โคมไฟหยุด ให้ติดอยู่ในระดับเดียวกันที่ด้านท้ายรถข้างซ้ายและข้าวขวามีจำนวนเท่ากันทั้งสองข้างอย่างน้อยข้างละหนึ่งดวง และอาจติดเพิ่มเติมอีกหนึ่งดวงในแนวกึ่งกลางท้ายรถในตำแหน่งที่ให้แสงสว่างออกไปทางท้ายรถก็ได้ โคมไฟหยุดต้องใช้ไฟแสงแดงมีกำลังไฟเท่ากันไม่เกินดวงละ ๑๐ วัตต์ มีแสงสว่างเฉพาะในขณะที่ใช้ห้ามล้อโดยแสงต้องสม่ำเสมอคงที่ไม่กระพริบและสามารถมองเห็นได้จากระยะไม่น้อยกว่า ๓๐ เมตร (แก้ไขตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๔๕))
(ค) โคมไฟส่องป้ายทะเบียนรถ ให้ติดท้ายรถ ใช้ไฟแสงขาวส่องที่ป้ายทะเบียนรถมีแสงสว่างสามารถมองเห็นเครื่องหมายหรือตัวอักษรและตัวเลขได้ชัดเจนจากระยะไม่น้อยกว่า๒๐ เมตร แต่ต้องมีที่บังมิให้แสงพุ่งออกไปทางท้ายรถ
โคมไฟท้าย โคมไฟหยุด และโคมไฟส่องป้ายทะเบียนรถต้องส่องแสงสว่างพร้อมกับโคมไฟหน้ารถ แต่โคมไฟหยุดต้องส่องแสงสว่าง เมื่อใช้ห้ามล้อเท้า
ข้อ ๑๓ ในเวลาที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอที่จะมองเห็นคน สัตว์ รถ หรือสิ่งกีดขวางในทางได้โดยชัดแจ้งภายในระยะไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร ให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถในทางปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) ใช้โคมไฟแสงพุ่งไกลเมื่อไม่มีรถสวนมา
(๒) ใช้โคมไฟแสงพุ่งต่ำเมื่อมีรถสวนมา
(๓) ในกรณีที่รถมีโคมไฟแสงพุ่งไกลหรือโคมไฟแสงพุ่งต่ำติดห่างจากด้านข้างสุดของรถเกิน ๐.๔๐ เมตร ต้องใช้โคมไฟเล็กในเวลาขับรถด้วย
(๓ทวิ) ในกรณีที่รถมีโคมไฟเพื่อใช้ตัดหมอก จะเปิดไฟหรือใช้แสงสว่างได้เฉพาะในทางที่จะขับรถผ่านมีหมอก ควัน หรือฝุ่นละอองจน เป็นอุปสรรคอันอาจเกิดอันตรายในขณะขับรถ และเมื่อไม่มีรถอยู่ด้านหน้า หรือสวนมาในระยะของแสงไฟ (เพิ่มเติมตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๕ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ข้อ ๓)
(๔) ในกรณีที่ขับขี่รถจักรยาน ต้องบังคับแสงของโคมไฟหน้ารถให้ส่องตรงไปข้างหน้าให้เห็นพื้นทางได้ในระยะไม่น้อยกว่า ๑๕ เมตร และอยู่ในระดับต่ำกว่าสายตาของผู้ขับขี่ขับรถสวนมา
(๕) ในกรณีที่บรรทุกของยื่นล้ำออกนอกตัวรถ ต้องใช้โคมไฟแสงแดงติดไว้ที่ปลายสุดของส่วนที่ยื่นออกไปด้วย
ข้อ ๑๕ การมีหรือใช้โคมไฟนอกจากที่ระบุไว้ในกฎกระทรวงนี้ จะกระทำมิได้เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเจ้าพนักงานจราจร
เป็นข้อกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมล่าสุด
ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๓ ทวิ) ของข้อ ๑๓ แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๒๒)
ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒
"(๓ ทวิ) ในกรณีที่รถมีโคมไฟเพื่อใช้ตัดหมอก
จะเปิดไฟหรือใช้แสงสว่างได้เฉพาะในทางที่จะขับรถผ่านมีหมอก ควัน หรือฝุ่นละออง
จนเป็นอุปสรรคอันอาจเกิดอันตรายในขณะขับรถ
และเมื่อไม่มีรถอยู่ด้านหน้าหรือสวนมาในระยะของแสงไฟ"

เริ่มจับปรับกันแล้วนะครับ






