วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

N A S C A R



NASCAR  หรือชื่อเต็ม  The National Association for Stock Car Auto Racing  สมาคมแข่งรถสต็อกคาร์(stockcar)  ที่ได้รับความนิยมมาเกือบ 60 ปี มีผู้ชมมากที่สุดพอๆกับ NFL,NBA,MLB  และยังมีถ่ายทอดสดอีก150ประเทศทั่วโลก และมีการซื้อสิ้นค้า 3 ล้านดอลล่าร์ในทุกๆปี รวมทั้งสปอนเซอร์มากมายเข้ามาไม่ขาดสาย กีฬาชนิดนี้ถูกจัดอันดับ 17 ใน 20 อันดับกีฬาที่ได้รับความนิยม
เสียงเครื่องยนต์ที่แผดคำรามบนสนามวงรีที่มีผู้ชมนับแสน  เสียงในแต่ละทีมวุ่นวายและได้ยินเสียงเปลี่ยนยางและการแข่งขันที่ดุเด็ดเผ็ดมันส์เพื่อชิงความเป็นหนึ่ง และจบลงที่การฉลองชัยสาดแชมเปญแสดงความยินดี

แต่ใครจะรู้ว่ากว่าจะเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยม มันมีที่มาที่ไปอย่างไร ฉะนั้นผมจะพาไปที่ๆหนึ่งที่เป็นจุดกำเนิดและเป็นต้นตำรับของการแข่งขัน  มันอยู่ทางใต้ในสหรัฐอเมริกาอยู่ในรัฐฟลอริด้า นั่นคือชายหาด เดย์โทน่า (Daytona Beach) 




เสียงคลื่นกระทบฝั่ง เสียงนกร้องเพลง ผู้คนต่างพักผ่อน เล่นน้ำอย่างสนุกสนาน  แต่เมื่อ 60 ปี ก่อนบนพื้นดินแห่งนี้ 
เคยเป็นสถานที่เหล่านักซิ่งจะมาประลองฝีมือ และทุบสถิติของตัวเองและคู่แข่งอย่างเมามันส์  น่าจะเริ่มในช่วงปี 1920-1930  โดยลักษณะสนามจะสตาร์ทจากสาย A1A เลี้ยวซ้าย บนชายหาด และเลี้ยวกลับมา A1A อีกรอบระยะทาง 3.2 ไมล์ พื้นที่นี้ถูกขนานนามว่า เป็นลานประลองที่ฮิตที่สุดในยุคนั้น ทั้งการแข่งรถยนต์ไม่ก็แข่งมอเตอร์ไซค์ โดยชาติที่เข้าแข่งขันไม่ใช่อเมริกันแต่เป็นชาติจากฝั่งยุโรปคือ อังกฤษกับ เบลเยี่ยม
  สนามเดย์โทน่า บีช  
  
       ที่นี้มาอีกหนึ่งตำนานที่ถือว่าเกี่ยวข้อง มากที่สุดและยังเป็นตำนานที่เล่าขานมาจนถึงบัดนี้นั่นคือ Moonshine Runner หรือ พวกค้าเหล้าเถื่อน  พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการขนส่งเหล้าด้วยการปรับแต่งรถให้มันแรงขึ้นเพื่อหลบหนีตำรวจ เหมือนเรื่อง The Dukes of Hazzard  เลยทีเดียว  ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ นอร์ธ คาโลไรน่า พวกนี้มักจะทำสถิติหลบหนีมากที่สุดเป็นประวัติการณ์  และรถพวกนี้อย่างที่บอกไม่ใช่รถธรรมดาแต่รถพวกนี้ได้ผ่านปรับแต่งอย่างดี และจะทำช่องพื้นที่สำหรับใส่ลังเหล้าที่จะเอาไปส่งลูกค้า และถือว่าเป็นธุรกิจที่ฮิตมากในแถบชานเมืองและชนบทกลายเป็นธุรกิจสุดฮิต คล้ายๆกับ คริ้สปี้ ครีม เพียงแต่ มันเป็นธุรกิจที่ผิดกฏหมายเลยทีเดียว
เหล้าเถื่อนส่วนใหญ่สกัดจากข้าวโพด ซึ่งข้อดีคือการนำผลผลิตของตัวเองมาประยุกต์ใช้จะทำให้รายได้สูงในทางลัดเท่ากับการเลี่ยงภาษีจากรัฐบาล

 ทีนี้หลายคนถามว่า" ที่กล่าวๆมามันเกี่ยวตรงไหนเพ่ วัยรุ่นใจร้อน!!! "  ก็นี่ไงครับกำลังจะเล่าบัดนี้แล้วครับ

ผลพวงจากการที่มีรถขนเหล้ามากขึ้น มีนิยายปรามปราว่า คนขนเหล้าสองคนเกิดข่มกันว่า รถใครมันเจ๋งกว่า เถียงแล้วเถียงอีกสุดท้าย อีกคนก็บอก แข่งเลยสิให้มันรู้แล้วกันไป ก็เลยท้ากันบนถนนรุกรัง มีเงินรางวัลเล็กน้อย แล้วจากสองก็เป็นสี่แล้วเป็นสิบแล้วก็ท้ากันเรื่อยๆเหมือนรางรถไฟ แล้วผู้ชมก็เริ่มทยอยกันจนมีการพนันว่าคันนี้ต้องชนะในที่สุด ก็เริ่มมีการสร้างสนามแข่งขึ้นและเรียกการแข่งรถนี้ว่า สต็อกคาร์ (stockcar) คือ การนำรถมาดัดแปลงแล้วลงแข่งขันโดยยังคงสภาพเหมือนรถทั่วไป  แล้วการแข่งสต็อกคาร์ ก็เริ่มแพร่ขยายไปทั่วอเมริกา นักแข่งยุคแรกๆก็พวกขนเหล้านี่แหละกลับใจหันมาแข่งในสนาม มากมาย และสมาคมหลายที่ก็เกิดขึ้นราวดอกเห็ดเพื่อเอาใจขาซิ่ง แต่กฏ กติกายังไม่แน่ชัดจึงไม่แปลกใจหรอกที่จะมีการโกงสารพัด  



ในช่วงประมาณปี 1936  สนามเดย์โทน่า บีช คือแหล่งซิ่งใหม่ที่เหล่านักซิ่งทั่วประเทศไปรวมตัวกันที่นั่น ทำให้รายได้เข้าในเมืองนี้ แต่ว่ารัฐยังมีงบไม่เพียงพอเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจทำให้มีการแก้สนามในจุดที่จำเป็นและเปลี่ยนชื่อว่า The Daytona Beach and Road Course  และเริ่มจัดการแข่งขันซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี ณ ที่แห่งนี้กลายเป็นที่พบปะสังสรรค์ นักแข่ง ช่างเครื่อง ผู้ชม บางคนที่อยากดูก็ลงทุนขับมาที่หาดเดย์โทน่า รวมถึงวัยรุ่นในยุคนั้นก็ให้ความสนใจถึงกับลงทุนหารถแล้วมาซิ่งบนสนามแห่งนี้  ใครรวยมีเงินเปิดโรงแรมนอน กินอาหารค่ำสุดหรู ใครเงินน้อยก็ หาโรงแรมราคาถูกบางคนนอนในรถเลย แต่ช่วงนั้นเป็นอะไรที่สนุกมากๆ

ณ สถานที่แห่งนี้ จะมีผู้คนหลากหลาย หนึ่งในนั้นมีอยู่คนหนึ่ง ที่เห็นแล้วติดใจเหมือนเจอของใหม่ เขาเป็นชายรูปร่างสูง 6 ฟุต 5 นิ้ว ย้ายมาอยู่กับภรรยาชื่อ แอนนี่  จากแมรี่แลนด์มาเดย์โทน่าเพื่อเริ่มงานช่างซ่อมรถ แต่ในเพียงสองปี หลายคนรู้จักเขาดี เขาล่ะ  บิลล์ ฟรานซ์ ซีเนียร์! 

หลังจากที่ได้พูดถึงชายที่ชื่อ บิลล์ ฟรานซ์ ซีเนียร์ ไปก่อนหน้านี้  ว่าเขาได้พาภรรยาย้ายจากแมรี่แลนด์เพื่อหลบหนาวมาที่เดย์โทน่า และเริ่มกิจการซ่อมรถทันที พอช่วงสุดสัปดาห์ ก็จะลงไปซิ่งด้วย
และเป็นนักแข่งฝีมือดีคนหนึ่งเลยทีเดียว โดยในปี 1936  เขาลงแข่งขันจบที่อันดับห้า  พอปี1938 เขาเข้าสู่การเป็นผู้จัดการแข่งขัน และได้เพิ่มกฏว่าจะมีรางวัลให้กับผู้ที่ขับนำรอบมากที่สุด จะได้แชมเปญชั้นดี ซิกการ์แทมป้าร์ เป็นต้น

ฟรานซ์ทำงานเป็นผู้จัดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลได้ให้ชายทุกคนเข้าสู่สงครามทำให้ทุกวงการต้องเลิกกลางคัน เหล่านักซิ่งต้องมาเป็นผู้รับใช้ชาติ บิลล์ก็ได้ไปร่วมสงครามไปทำงานที่อู่ต่อเรือจนจบสงคราม บิลล์และหลายคนกลับไปสู่วงการสต็อกคาร์ อีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้สมาคมในแต่ละที่มีกฏเกณฑ์ต่างกัน ทำให้เขาเริ่มมองไปข้างหน้าว่า ถ้าอยากให้กีฬานี้บูมให้ได้ ต้องรวมเป็นหนึ่ง และกฏกติกาให้เป็นมาตรฐาน

แต่เนื่องจากว่าเขายังไม่มีงบประมาณเพียงพอและพันธมิตรที่จะร่วมด้วย  ตอนแรกติดต่อสมาคม SCARS แต่ว่าทางสมาคมได้ดำเนินการไปก่อนแล้ว เขาจึงไปขอความช่วยเหลือจากสมาคมยานยนต์อเมริกัน (American Automobile Association) พอติดต่อก็ถูกปฏิเสธเนื่องจากที่นี่จะสนับสนุนกีฬาพวก อินดี้ คาร์(รูปทรงคล้ายๆF-1) ฟรานซ์จึงหาทางผลักดันต่อไป ซึ่งหลายคนให้การสนับสนุนและชอบมันซะด้วย  ในที่สุดในวันที่ 14 ธ.ค. 1947 เขาตัดสินใจเชิญผู้จัดแข่งสต็อกคาร์ 36 คน ทำการประชุม วัน คืน เพื่อมาร่วมกันก่อตั้งสมาคมแข่งรถที่เป็นมาตรฐานสู่สากล โดยประชุมที่  อีโบนี่ เล้าจน์ ในโรงแรมสตรีมไลน์ ในหาดเดย์โทน่า สาระสำคัญการประชุมคือ การร่างกฏ กติกา แต่เนื่องจากต้องใช้เวลาในการตัดสินใจจากสมาชิกจึงกลายเป็นระยะเวลา 2 เดือน ในที่สุดก็ประกาศจดทะเบียนจัดตั้งสมาคม The National Association for Stock car racing หรือ NASCAR  ในวันที่ 21 ก.พ. 1948 โดย ฟรานซ์ทำหน้าที่เป็นประธานคนแรก และแต่งตั้ง เออร์วิน เบเกอร์ (Erwin Baker) นั่งเก้าอี้เลขาธิการของสมาคม 


ในฤดูกาลแรกของแข่งขัน แม้กฏกติกาในข้อหนึ่งบอกว่ารถที่แข่งขันให้เป็นรถสต็อกคาร์แต่ 90% นักแข่งส่วนใหญ่ ยังนำรถ ประเภท โมดิฟายด์ ฮ็อต ร็อด หลากหลายสัญชาติ ที่ใช้กันก่อนหน้านี้ลงแข่ง  จนกระทั่งในปี 1949 ได้ประกาศกฏอย่างเป็นทางการว่า รถที่จะทำการเข้าแข่งขันจะต้องเป็นสต็อกตาร์เต็มขั้น โดยยังคงสภาพรถเหมือนของเดิม และให้ใช้รถคันไหนก็ได้ ที่ผลิตในประเทศ  และไม่ใช่พวกรถประเภทโมดิฟายด์ เหมือนเมื่อก่อน ซึ่งทำให้ไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะสมัยก่อน ยังไม่จำกัดประเภท จะโมดิฟายด์หรือ สต็อกคาร์ก็ลงแข่งได้ แต่เมื่อกฎนี้ได้ประกาศใช้ในการแข่งขันที่สนามรุกรังในวันที่ 19 ม.ย. 1949  ที่ชาร์ลอตต์ นอรธ์ คาโลไรน่า เป็นครั้งแรกที่รถเป็นสต็อกคาร์ทั้งหมด

การให้รางวัลก็กลายเป็นแม่แบบปัจจุบัน เพราะนอกจากเงินรางวัลล่อตาล่อใจนักแข่งถึง 5000 ดอลล่าร์แล้วยังเพิ่มเงินรางวัลให้กับผู้ที่เข้าเส้นชัยคนแรก 2000 ดอลล่าร์ และ 1000 ดอลลาร์แก่ผู้ที่นำรอบมากที่สุด  วันนั้นก็ได้ผู้ชนะ คือ เกล็น ดานัลเวย์ (Glen Dunnaway) แต่ภายหลังถูกริบแชมป์เพราะเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบรถแล้วพบว่ามีการดัดแปลง ที่ใช้ขนเหล้าเถื่อน ทำให้ฟรานซ์ต้องเรียกสมาชิกมาประชุมเพื่อเพิ่มกฏให้มีการตรวจสอบรถที่จะแข่งขันอย่างเข้มงวด
ในปีนี้เราก็ได้แชมป์คนแรกของนาสคาร์ คือ Red Byron
  
หลังจากการแข่งขันจบลง ในปีต่อมา ซึ่งเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ของวงการคือ รถที่ใช้แข่งจากที่ยังเป็นรถเก่าๆแล้วปรับแต่งมาลงแข่ง ตอนนี้หลายๆทีมใจถึงลงทุนสั่งรถคันใหม่จากโชว์รูมสดๆร้อนๆ แล้วทำการปรับแต่งอย่างเต็มที่ สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่ทันสมัยจึงทำเท่าที่ทำได้ เช่น คาร์บูเรเตอร์ เปลี่ยนเบาะ ปรับช่วงล่างแค่นั้น บางทีมใจเด็ดถอดประตูและลงแข่งทั้งอย่างนั้นไปเลยไม่ก็ใช้เทปพันประตู แต่พอเข้าอีกปีถัดมา หลายคันจึงเริ่มใส่โรลบาร์ เพื่อเซฟชีวิต  และติดตั้งวิทยุเพื่อติดต่อกับทีม สุดท้ายคือยาง แต่เดิมใช้ยางธรรมดา แต่คราวนี้ใช้ยางรถแข่ง ไหนๆก็แข่งแล้วแต่งให้มันฟูลอ็อฟชั่น ไปเลย

ปี1950 ฟรานซ์ประกาศชื่อรายการใหญ่ทางการว่า Grand National และในปีเดียวกัน ฟรานซ์ ได้มองวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลว่าตอนนี้มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ  จึงตัดสินใจสร้างสนามแข่ง ที่ ดาร์ลิงตั้น (Darlington Speedway) โดยได้ แฮโรด์ บราซิงตั้น เป็นผู้มอบเงินทุนในการสร้างสนาม
และเมื่อสนามสร้างเสร็จ ก็มีหลายที่เริ่มสร้างสนาม ส่วนที่หาดเดย์โทน่ายังคงสนุกสนานเหมือนทุกครั้งและทุกการแข่งมักจะมีเรื่องตื่นเต้นระทึกใจ ทุกนัด  ฟรานซ์ตัดสินใจทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยโปรเจ็คคือการสร้างสนามในเดย์โทน่าและต้องใหญ่กว่าดาร์ลิ่งตั้นเป็นสองเท่า  

ฟรานซ์คือนักฝันที่แท้จริงและได้มองวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลยิ่งกว่าคือ เมื่อสนามแห่งนี้เสร็จก็จะกลายเป็นสนามแข่งรถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา  เขาจึงไม่รอช้าเขานำเงินจำนวน 2 ล้านดอลล่าร์ และออกแบบสนามแข่งรถมาตรฐานในปี1958 และสามารถเปิดให้บริการในปี 1959 ในชื่อว่า Daytona International Speedway ซึ่งมีระยะทาง 2.5 ไมล์ ทำให้สนามที่หาดเดย์โทน่าได้ปิดตัวลงอันเป็นสิ้นสุดยุค หาดเดย์โทน่า ทิ้งเหลือไว้ในความทรงจำ

หลังจากที่ NASCAR ได้ถือกำเนิดขึ้นกลายเป็นกีฬาแข่งรถที่เริ่มโด่งดังขึ้น จากที่เล่าในบทที่แล้ว คราวนี้จะเข้าสู่ยุคเบ่งบาน หรือ ยุคทอง แล้วแต่ผู้อ่านจะเรียกสุดแท้แต่  รวมถึงสนามแข่งเดย์โทน่า  สปีดเวย์ ก็เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 1959  ได้จัดการแข่งขันนัดเปิดสนามครั้งแรกของลีกส์ แกรนด์ เนชั่นแนล(Grand National) ในวันนั้นผู้ชมแน่นสนาม และเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ การแข่งขันก็ตื่นเต้นไม่น้อย และผู้ชนะในวันนั้นคือ รถเบอร์ 42 Chyslers สีขาว ชื่อของเขาคือ ลี เพ็ทตี้ (Lee Petty) เข้าเส้นชัยแบบเส้นยาแดงผ่าแปด และเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่จดจำจนทุกวันนี้


นักแข่งในช่วงยุคปลาย40's-50 นอกจาก เรด ไบร่อนและ เพ็ทตี้ แล้ว ยังมีจ้าวฝีมือที่ในยุคนั้นถือว่าสุดยอดจนถึงทุกวันนี้ มีดังต่อไปนี้  

  1.) Buck Baker  อดีตนักขนเหล้าเถื่อนและคนขับรถประจำทางที่มีใจรักความเร็ว เข้าสู่วงการและคว้าแชมป์ในปี1956-1957 ก่อนที่จะอำลาวงการไปเปิดโรงเรียนสอนแข่งรถสต็อคคาร์ ซึ่งมีลูกศิษย์หลายคนที่ประสบความสำเร็จ เช่น เจฟฟ์ กอร์ดอน (Jeff Gordon) แชมป์ สมัยที่ได้รับการขัดเกลาฝีมือจากเขา



2.) Tim Flock  อดีตแชมป์ 1952&1955 นักขับที่ได้ชื่อว่าบ้าระห่ำในยุคแรกๆเจ้าของรถเบอร์300
แต่ถึงกระนั้นเขาเป็นนักแข่งอารมณ์ขันเพราะทุกครั้งจะพาลิงเพื่อนซี้อย่าง Jocko ไปให้กำลังใจด้วย
เขาเป็นหนึ่งในสามของตระกูลที่ถือว่ายิ่งใหญ่ในนาสคาร์เลยทีเดียว




3) Glen Fireball Roberts  จ้าวลูกไฟมรณะผู้นี้ได้ฉายานี้มาจากตอนสมัยเล่นเบสบอล แต่พอแข่งรถกลับทำได้ดีไม่แพ้กันโดยเฉพาะวีรกรรมในสนามดาร์ลิงตั้น แต่น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตด้วยวัย37 ถูกย่างสดในการแข่งที่ชาร์ลล็อต สปีดเวย์ 




4.) Herb Thomas  แชมป์ 1951&1953 และในปี1956 จบลงที่อันดับสามก่อนจะได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขันเจ้าของรถ ฮัดสัน ที่เขียนว่า ฮัดสัน สิงห์สนาม  ที่เรียกเสียงเชียร์จากผู้ชมได้ดีอีกคนหนึ่ง



พอเข้าสู่ยุค60's ยุคที่เพลงแนว Rocl&roll ดังขึ้น ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลสืบเนื่องจากการวางรากฐานในช่วงปีแรก และวิสัยทัศน์ที่ บิลล์ ฟรานซ์ ตั้งเป้าใว้ซึ่งผลลัพธ์เป็นไปตามเป้าที่หวัง เงินเริ่มฟูฟ่าขึ้น ทีมและนักแข่งใหม่ๆก็ตบเท้าเข้าร่วมการแข่งขัน 
สปอนเซอร์หลายแห่งก็เริ่มให้ความสนใจ รวมถึงโชว์รูมรถที่หลายยี่ห้อลงแข่งในนาสคาร์  ก็ขายดีเทน้ำเทท่าทุกวันจันทร์  นอกจากนี้เขายังขยายฐานผู้ชมไปตามที่ต่างๆ  อาทิ  นิวยอร์ค , วิสคอนซิน  แต่ฐานยังคงอยู่แถวทางตะวันออกเฉียงใต้


การที่เข้าสู่ยุคที่เบ่งบาน ทำให้มีนักแข่งหลายคนอยากจะเข้าร่วมแต่บางคนมีงบไม่เพียงพอ บิลล์ จึงตัดสินใจว่าจะเพิ่มดีวีชั่นนอกเหนือจากหลายการใหญ่ ให้กับพวกเขา โดยแบ่งตามประเภทรถที่แข่งขัน อาทิ Midget, sport modified เป็นต้น

ถ้าพูดถึงรถที่นักแข่งเลือกใช้ทุกคนส่วนใหญ่เลือกใช้บริการ ฟอร์ด ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่นี้ทุ่มเงินจำนวนหลายล้านสนับสนุนกีฬาประเภทนี้อย่างเต็มที่ และเทคโนโลยีสุดฮิต ในยุคนั้นและเป็นของใหม่ คือ แอโรไดนามิค ซึ่งรถทุกคันเริ่มหันมาใช้ระบบนี้ คือการเสริมปีกช่วยรักษาความสมดุลของรถ อาทิ Ford Torino, Plymonth, Dodge Charger Daytona เป็นต้น

ในปี 1969 นั้น ได้เกิดสนามแห่งใหม่ขึ้นที่รัฐ อลาบาม่า ชื่อ Talladega Superspeedway (ทัลลัลเดก้า ซุปเปอร์สปีดเวย์) ระยะทาง 2.66ไมล์ ซึ่งยาวกว่าเดย์โทน่า สองเท่าและอันตรายมากก่อนที่สนามจะเปิดนักแข่งต่างไม่ขอลงแข่งที่นี่ เพราะเกรงว่าจะได้รับบาดเจ็บ ทำให้มีการตั้งสมาคมนักแข่งอาชีพหรือ PDA (Professional Driver Association) และแบนสนามนี้ไปพักนึงเพื่อขอให้มีการเซฟในสนาม

บิลล์ ตัดสินใจทำการทดลองสนาม และผลลัพธ์คือ ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จนในที่สุดนักแข่งยอมมาแข่งที่สนามแห่งนี้ในที่สุด

มาถึงยุค 60 ที่ถือว่าเป็นสุดยอดแห่งยุค และยังคงเป็นตำนานที่เล่าขานทุกวันนี้

1.)  Ned Jarrett  แชมป์ปี1961&1965 โดยในปี65 เขาชนะ13ครั้ง และได้อำลาวงการในปี1966แต่เขาไม่ได้หนีหายไปไหนยังคงอยู่ในวงการโดยเป็นผู้บรรยายและเป็นพ่อของ เดล จารเร็ท (Dale Jarrett)


2.) Junior Johnson  ชายผู้เป็นตำนานแถวหน้าของวงการจากอดีต เด็กขนเหล้าที่ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วก่อนจะเข้าวงการแต่ครั้งหนึ่งเขาถูกจับกุมจากคดีเก่าแต่เมื่อได้รับการปล่อยตัว ก็กลับมาสร้างชื่อโดยเฉพาะการเป็นแชมป์ Daytona 500 ในปี1960 และเก่งมาถ้ามันเป็นสนาม  ซุเปอร์สปีดเวย์  หลังจากอำลาวงการเขาผันตัวไปเป็นหัวหน้าช่างให้กับนักแข่งดังหลายๆคน 


3.) Fred Lorenzen  โกลเด้นบอยแห่งวงการได้รับการยอมรับว่าเป็นนักแข่งที่มีฝีมือคนหนึ่งเขามีสถิติคือชนะ6ครั้งติด1ใน10ถึง 23 ครั้ง และเคยไปแสดงภาพยนตร์ด้วย 


4.) David Pearson นี่ก็เป็นนักแข่งอีกคนหนึ่งที่ถือว่าเก่งที่สุดในยุคนั้นด้วยการคว้าแชมป์ปี 1966&1968-1969


5.) Richard Petty ลูกชายของลี เพ็ทตี้ แชมป์ 2 สมัย และ แชมป์ Daytona 500 เขาคือ เพชรน้ำงามแห่งวงการเลยทีเดียวเพราะเขาคือคนแรกที่คว้าแชมป์ถึง 7สมัย และเจ้าของสถิติชนะถึง200รายการ ทำให้แฟนๆพร้อมใจยกฉายาว่าราชา ให้กับเขา ปัจจุบันเขาเป็นเจ้าของทีม และยังเป็นตำนานที่คนยังพูดถึงอยู่จนถึงปัจจุบัน เขาเป็นตัวอย่างของนักแข่งที่ดีคือแม้จะรวยโด่งดังแค่ไหนเขาก็ยังทำตัวติดดินเป็นกันเองกับแฟนๆทุกครั้ง



6.) Wendell Scott  เขาคือนักแข่งคนแรกและคนเดียวที่สามารถลบเส้นสีผิว ด้วยการเป็นนักแข่งผิวสีคนเดียวที่ร่วมชิงชัยในรายการใหญ่ ซึ่งแฟนๆไม่พอใจตามกระแสเหยียดผิวในตอนนั้น แต่เขาก็สร้างผลงานลบคำสบประมาทจนกลายเป็นที่ยอมรับ และกลายเป็นไอดอลหลายต่อหลายคน และเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้




และเมื่อเช้าช่วงยุค 70 กระแสนาสคาร์กลับดังเป็นสองเท่า รวมทั้งเริ่มมีการถ่ายทอดสดระดับชาติ รถแข่งในปีนี้ ก็มีการพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะเครื่องยนต์ ที่มีการอัพเกรดถึง400-600แรงม้า นักแข่งหลายคนยังคงมาจากยุค 60 และหน้าใหม่มากมาย มันคือยุคใหม่ที่กำลังจะพัฒนาอย่างไม่สิ้นสุด

ในปี1972  นาสคาร์ได้สปอนเซอร์กระเป๋าหนักอย่าง R.J. Reynolds Tobacco company. เจ้าของบุหรี่ยี่ห้อ Winston  ทำให้มีการเปลี่ยนชื่อรายการใหญ่เป็น NASCAR Winston Cup Series และกลายเป็นสปอนเซอร์
ที่อยู่คู่วงการมานานนับสิบปี  แต่กลับถูกกระแสวิจารณ์ว่า การได้สปอนเซอร์บุหรี่จะกลายเป็นการโปรโมตและขายไปในตัวเนื่องจากในตอนนั้นโฆษณาบุหรี่ถูกแบนอยู่ แต่เนื่องจากว่า การแข่งนาสคาร์ได้กลายเป็นการแข่งที่ถูกต้องทางกฎหมาย ทำให้วินส์ตั้นได้เป็นสปอนเซอร์ถูกต้องตามกฎหมาย  




และปีเดียวกัน บิล ฟารนซ์ ซีเนียร์ประกาศลาจากตำแหน่งและส่งมอบให้กับลูกชาย บิลล์ ฟรานซ์ จูเนียร์ ดำรงเก้าอี้ต่อจากพ่อและประกาศการเข้าสู่ยุคใหม่ของนาสคาร์เต็มตัว ด้วยนโยบายของเขาสามารถทำเงินเข้ากระเป๋ามากมายมหาศาล  รวมทั้งในช่วงยุคนี้ดังที่กล่าวไปแล้วว่า เริ่มมีการถ่ายทอดสดระดับชาติเป็นครั้งแรก (แต่เดิมจะถ่ายทดในรายการเล็กๆ )  โดย CBS สถานีเคเบิ้ลทีวีของแดนลุงแซมได้สิทธ์ถ่ายทอดสดรายการใหญ่ ในวันที่ 18 ก.พ. 1979 ถ่ายเกาะติดทุกช็อต และ  รายการนี้คนทั้งประเทศได้จำช็อตเด็ดไม่มีวันลืม เมื่อ ดอนนี่ อลิสัน และ เคล ยาโบโรช วิ่งไล่บี้จนพุงชนกับขอบสนามแล้วไหลไปตามทาง ยังไม่พอ พอลงจากรถทั้งคู่ก็สู้กันทันที
ต่างลมลุกชกต่อยจนเจ้าหน้าที่ไปห้ามปราม  ส่วนผู้ชนะ เป็น ริชาร์ด  เพ็ทตี้   นี่คือ เดย์โทน่า 500 ครั้งแรกที่ได้ถ่ายทอดสดทั่วประเทศ 


ทีนี้จะพูดถึงสุดยอดแห่งยุค 70 ที่ เจริญรอยตามรุ่นนำในยุค 60 ซึ่งมีดังนี้

 1.) Donnie& Bobby Allision  สองดูโอรุ่นแรกๆของวงการ โดย บ็อบบี้ คนพี่ได้แชมป์ปี1983 ส่วน ดอนนี่ คนน้องชนะที่ทัลลัลเดก้า ในปี 1971และ 1977 รวมถึงลงแข่งในอินดี้500 พวกเขาถือว่าเป็นนักแข่งยอดฝีมือแห่งยุคและรูจักในฐานะสมาชิก แก็งค์อลาบาม่า  ที่โด่งดังในตอนนั้น


2.) Janet Guthrie  เธอคือหญิงแกร่งของนาสคาร์ที่ประสบความสำเร็จในยุคนั้น และกลายเป็นไอดอลให้
กับผู้หญิงหลายๆคนหันมาลุยในวงการนี้ เธอต้องการพิสูจน์ว่ากีฬาแบบนี้ผู้หญิงก็มีสิทธิ์ที่จะเทพในวงการนี้ได้
เธอลงแข่งในปี1976 ถึง 1980 และสร้างสถิติชนะรวด 6 ครั้ง ที่ บริสตอล และลงแข่งอินดี้ 500



3.) Benny Parsons  อดีตแชมป์ปี 1973  และแชมป์ เดย์โทน่า 500 ปี 1975 เขาเป็นนักขับคนแรกที่เหยียบเกิน200 ในการวิ่งคัดเลือกในปี 1982 รายการที่ทัลลัลเดก้า ภายหลังเขาหันมาเป็นผู้บรรยาย ปัจจุบันได้เสียชีวิตแล้ว

  
4.) Cale Yaborough ดาวจรัสแสงแห่งยุค60 ที่ชนะทั้งเดย์โทน่า และ ดาร์ลิงตั้น อดีตคู่กัดกับพี่งน้องอลิสัน เขาประสบความสำเร็จกับแชมป์3ปีซ้อน โดยเขาชนะ ปี 1976,1977,1978  



















เมื่อเข้าสู่ยุค 80 ยุคที่เป็นช่วงเหตุการณ์สำคัญมากมายในโลกเกิดขึ้น หลายต่อหลายเหตุการณ์ อาทิ เรื่อง เอดส์ การเมืองที่เผ็ดร้อนโดยเฉพาะช่วงสงครามเย็น หรือ การระเบิดของยายชาเลนเจอร์ ไมเคิ่ล แจ็คสัน บูมสุดๆ หนังสตาร์ วอรส์  3 ภาค เป็นต้น แต่ นาสคาร์ก็ยังเป็นช่วงที่สนุกสุดๆเหมือนเคย โดยเฉพาะเหล่าดาวดวงดวงใหม่ได้จรัสฟ้าหลายต่อหลายคน แต่ขณะเดียวกันอุบัติเหตุก็สูงขึ้นจนต้องมีการปรับปรุงสนามครั้งใหญ่ในปี 1988 

รถแข่งในปีนี้มีการพัฒนาจากที่มีรูปร่างโค้งมากลายเป็นทรงเหลี่ยม หลายยี่ห้อที่เข้าร่วมมี่ Chevy, Buick, Pontiac, Ford ซึ่งทุกครั้งในการแข่งรถที่ลงแข่งจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และอยากครบครอง

ส่วนเหตุการณ์สำคัญๆเกิดขึ้นมี ช่วง 1984  รายการ Firecracker 400 ริชาร์ด เพ็ทตี้ คว้าชัยเป็นครั้งที่ 200 ในชีวิตการเป็นนักแข่งของเขาและวันนั้น ประธานธิบดี โรนัลด์ เรแกน เข้าชมครั้งนี้ทางห้องวีไอพี หลังจบการแข่งขัน ริชาร์ดได้มีโอกาสพูดคุยกับท่าน และร่วมฉลองชัยชนะครั้งนี้ด้วย



ในปี 1985 รายการใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นคือ Winston All-Star race เป็นรายการที่เอานักแข่งที่มีผลงานดีที่สุดทั้ง20คันมาแข่งขันเพื่อชิงเงินรางวัลถึง1,000,000 ดอลล่าร์ ระเบิดสนามที่ ชาลอตต์ นอร์ธ คาโลไรน่า โดยผู้ชนะครั้งแรกตกเป็นของ
ดาเรลล์ วอทริป แชมป์3สมัย  และในปี 1987 ในศึก All Star ครั้งที่3 นักแข่งดาวรุ่งพุ่งแรง เดล เอิร์นฮาร์ด ที่ตอนนั้น คว้าแชมป์ไปถึง 2 สมัย ได้ลงทำการแข่งขัน แล้วในช่วงรอบสุดท้าย เขาทำให้ผู้ชมต้องตะลึงในฝีมือการขับเมื่อ เขาวิ่งตัดผ่านริมสนามด้วยเพียงเสี้ยววินาที ทำให้เขาเอาชนะ ในรายการนี้ได้ ภายหลัง เขานี่แหละคือตำนานแท้จริงด้วยการคว้าแชมป์ถึง 7 สมัย แล้วได้รับฉายาว่า The Intimidator หรือ จอมบ้าบิ่น ก่อนหน้านี้เขาได้ฉายาว่า จอหน์ เวยน์ แห่ง นาสคาร์ เพราะเขาไว้หนวดจนหน้าตาไปละหม้ายกับดาราหนังคาวบอยผู้นี้นี่เอง


ส่วนในปี 1988 ในรายการ Daytona 500 ได้เกิดศึกสายเลือด ระหว่าง บ็อบบี้ อลิสัน กับ เดวี่ อลิสัน ผู้ลูกทั้งคู่ขับเคี่ยวกันจนวินาทีสุดท้ายแล้วเป็น บ็อบบี้ที่คว้าธงตราหมากรุก ไปอย่างงดงาม หลังการแข่งก็มีการฉลองชัยชนะอย่างสนุกสนานประสาพ่อลูก เดวี่ ให้สัมภาษณ์ ว่าภูมิใจในตัวพ่อที่สุด แต่ในรายการ ริชาร์ด เพ็ทตี้ ได้รับอุบัติเหตุร้ายแรงที่สุดเมื่อรถคู่ใจเสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบ จนต้องเข้าโรงพยาบาล



ในปี1989 Darrell Waltrip คว้าชัยในรายการ Daytona 500 และตอนฉลองชัชนะเขาเต้นแล้วโยนหมวกกันน็อคแบบสะใจผู้ชมแล้วตะโกนว่าทำได้แล้วๆ  พอมาถึงศึก All-star  เขาพลาดท่าให้กับแชมป์ปี89 อย่าง รัสตี้ วอเลซ ทำให้หลังแมตช์ลูกทีมทั้งสองเกิดการทะเลาะกัน  จนเจ้าหน้าที่ต้องรีบมาห้ามโดยด่วน



เอ่าล่ะครับทีนี้จะมาพูดถึง สุดยอดนักแข่งที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในยุค80 เป็นใครบ้าง
  1.) Dale Earnhardt Sr.  แชมป์ 7 สมัย เจ้าของสมญานามว่า Intimidator เจ้าตำรับแห่งการขับที่บ้าบิ่น ท้าทายนักซิ่งคนอื่นๆ เขาคือไอดอลของทุกคนในอเมริกา ในนามเจ้าของรถหมายเลข3 สีดำ น่าเศร้าใจที่เขาจากไปในปี 2001 ในรอบสุดท้ายของการแข่ง Daytona 500 ทุกวันนี้เขายังเป็นที่จดจำ ของแฟนๆ และมีทายาทอย่าง Dale Jr. ที่เป็นนักแข่งแนวหน้าของวงการอยู่




    2.) Bill Elliott นักแข่งแนวหน้าของวงการในยุคนั้น เจ้าของแชมป์ปี 1988 ในปี1985 เข้าโชว์ความเทพด้วยการคว้าชัยในรายการหลักถึง 4 รายการและรับทรัพย์เกินล้าน ทำให้เขาได้ฉายาว่า Million Dollar Bill  เขาทำการลงแข่งจนปี 2003 เขาก็อำลาวงการและเปิดทีมแข่งรถของตนเอง พร้อมกับปั้นลูกชายให้เป็นนักแข่งในอนาคต ก่อนที่ใน4ปีที่ผ่านมาเขากลับมาลงแข่งขันประปราย จนถึงปัจจุบัน


3.) Terry Labonte เจ้าของแชมป์ปี 1984 และ 1996 เขามีน้องชายอย่าง Bobby Labonte ซึ่งคว้าแชมป์ในปี 2000 กลายเป็นพี่น้องคู่แรกในวงการที่สามารถคว้าแชมป์ในรายการใหญ่ Terry ลงแข่งจนถึงปี 2006 เขาก็อำลาวงการแล้วก็กลับมาอีกครั้งเพื่อลงแข่งในบางรายการ



3.) Tim Richmond  นี่ก็เป็นนักแข่งที่ดังอีกคนในยุคนี้ นอกจากฝีมือที่เก่งเป็นว่าเล่นชีวิตเขาก็โดดเด่นเป็นว่าเล่นเลยทีเดียว
เขาเป็นนักแข่งที่มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม เขาใช้ชีวิตแบบหนุ่มจ้าวสำราญ เขามีหมดทุกอย่าง ทำตัวเหมือนดาราจนแฟนๆเรียกเขาว่า ทอม ครูซแห่งนาสคาร์เลยทีเดียว ผลงานที่ดีที่สุด คือชนะ 7 ครั้ง ในปี1986 และหลายคนคาดหวังว่า เขานะจะเป็นแชมป์คนต่อไป แต่ความฝันนี้ก็พังทลายเมื่อเขาตรวจพบว่าเป็นเอดส์ ทำให้เขาต้องยุติบทบาทนักแข่งในที่สุดก่อนที่ในปี1989 เขาได้จากโลกนี้ไปด้วยโรคนี้นี่เอง



4.) Rusty Wallace แชมป์ปี1989 แชมป์นักซิ่งหน้าใหม่ ปี1984 เขาชนะถึง 55 ครั้งในการแข่งรายการใหญ่นี่ก็ถือว่ามีแฟนๆติดตามผลงานเขาตลอด เขาอำลาในปี2004 และคอยดูแลลูกชายที่กำลังลงแข่งในเวลานี้พร้อมกับทำงานที่ ESPN


5.) Darrell Waltrip แชมป์สามสมัยและเป็นนักแข่งที่ถือว่าเจ๋งที่สุดอีกคนในยุคนี้ เขาคือนักแข่งที่สามารถสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมในสนามและทางบ้านในตอนที่เขาสัมภาษณ์ เขามักมีมุกตลก ทำให้การแข่งไม่ซีเรียสเลยแม้แต่น้อย ปัจจุบันเขาเป็นผู้บรรยายนาสคาร์จนถึงทุกวันนี้ และเมื่อการแข่งจะเริ่มเขามีจะมีวลีประจำตัวว่า Boogity Boogity  Let go racing boy! สมัยที่เขาทำการแข่งขันเขามีภรรยาสุดเลิฟอย่าง Stevie Waltrip เธอคือผู้หญิงคนแรกที่ทำงานเป็นหัวหน้าช่าง และเป็นภรรยาของเขา 


    ทีนี้เมื่อเข้าสู่ยุค90 เมื่อเทคโนโลยียิ่งพัฒนามากเท่าไร  นาสคาร์ก็ยังพัฒนาต่อไปเรื่อยๆการแข่งขันก็ยังสนุกตื่นเต้นเร้าใจโดยเฉพาะในปี 1992 แชมป์ได้ถือกำเนิดขึ้น เมื่อ Alan Kuwicki  ดาวจรัสฟ้าดวงใหม่อีกคนทำผลงานได้โดดเด่นและสามารถคว้าแชมป์ประจำปี น่าเศร้าที่เขาจากไปด่วนหลังประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อปี1993 ในช่วงปีนี้เองเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายของราชา7สมัยอย่าง Richard Petty ก่อนที่จะอำลาวงการ ไปอย่างยิ่งใหญ่

 
และในปี1994 รายการ Brickyard 400 รายการใหม่ที่ถูกบรรจุในรายการ Winston cup ระเบิดศึกที่ Indianapolis Speedway การแข่งขันยังคงมันส์เหมือนทุกครั้งและก็ได้ผู้ชนะในปีแรก เขาเป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกล ที่ภายหลังเขาคือเจ้าของแชมป์ 5 สมัยที่กลายเป็นแถวหน้าของวงการ เขาชื่อ Jeff Gordon


ในปี1996 นาสคาร์ เริ่มเจาะตลาดไปยังต่างประเทศบ้าง โดยได้จัดรายการที่ประเทศญี่ปุ่น รายการ Suzuka Thunder Special 100 โดยแข่งครั้งนี้เป็นการแข่งไม่มีการเก็บคะแนนสะสม ทำให้มีนักแข่งญี่ปุ่นหลายคนขอเข้าร่วมการแข่งครั้งนี้ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก และในวันนั้น Rusty Wallace คว้าชัยในแดนปลาดิบได้สำเร็จ ก่อนที่ในปี1998 จะกลับมาจัดที่นี่ในรายการ NASCAR Thunder Special Motegi 500  โดยผู้ชนะคือ Mike Skiner



ในปี 1998 Dale Earnhardt พิชิตกำแพงเดย์โทน่าที่รอคอยมาถึง 20 ปีในที่สุด เขาก็สามารถเอาชนะไปได้อย่างสมภาคภูมิ


ปี2001 ข่าวเศร้าที่ช็อควงการเมื่อ Dale Earnhardt  Sr. จบชีวิตลง ในรายการ Daytona 500 ในวันที่ 18 ก.พ.2001 ซึ่งเหตุการณ์นี้ถูกขนานนามว่า "Black sunday "  ถือว่าเป็นการสูญเสียปูชนียบุคคล ของวงการ และกลายเป็นเคสที่ทางสมาคมเริ่มระดมสมองเพื่อที่จะสร้างรถที่เซฟเต็มขั้น ซึ้งจะเล่าในช่วงต่อไป 

 หลังเหตุการณ์การเสียชีวิตของเขาจากไป  Richard Childress ก็ได้ส่งไม้ต่อให้กับนักแข่งอนาคตไกล ภายหลังกลายเป็นยอดฝีมืออีคนหนึ่งเขาคือ Kevin Harvick

     


ปี 2003  Bill France Jr. ประกาศวางมือจากการเป็นประธานสมาคมและ Brian France ทายาทรุ่นที่สามเข้ามาสานงานต่อถือเป็นการเปลี่ยนยุคเข้าสู่ยุคใหม่  และด้วยวิสัยทัศน์บวกกับความเป็นคนรุ่นใหม่ Brian เริ่มงานแบบจริงจังในปี 2004 โดยการเปลี่ยนชื่อ รายการใหญ่ อย่าง Winston Cup มาเป็น Nextel Cup ก่อนที่จะเปลี่ยนอีกครั้งมาเป็น Sprint Cup และผู้ชนะในปีนั้น คือ Kurt Busch



    
ปี 2006 Brian ประกาศที่จะยกระดับ NASCAR ให้กลายเป็นกีฬาที่ทั่วโลกยอมรับ เริ่มจากในปี 2006 ได้ประกาศให้ TOYOTA  แบรนด์รถจากแดนปลาดิบ เข้าร่วมชิงชัยในครั้งนี้ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จากเหล่าแฟนรุ่นเก่า หลังจากที่ทดลองในลีกส์ Craftman Truck ส่ง Toyota Tundra เข้าร่วมจนสำเร็จ และในลีกส์ใหญ่ TOYOTA ส่ง Camry  เข้าร่วมโดยมีนักแข่งชั้นำทั้ง 7 ทีมประกาศใช้ Camry  เข้าร่วม โดยมีฐานสำคัญอยู่ที่ สองยอดฝีมืออย่าง Michael Waltrip และ Dale Jarrett  



ในปี2007 NASCAR  ประกาศ ให้ทุกทีมใช้รถที่เรียกว่า Car of Tomorrow  ซึ่งเป็นผลงานที่เกิดจากเหตุการณ์ปี2001 ซึ่งรถที่ว่านี้มันคือรถแข่งเต็มขั้น ก่อนจะมีการพัฒนา เป็นลำดับๆ จนในปี 2010 กลายเป็น COT โดยสมบูรณ์  นอกจากนี้ ยังได้เปลี่ยนระบบเครื่องยนต์ไปใช้ระบบ ปั๊มไฟฟ้า (electronic fuel injection system) และเชื้อเพลิงใช้แบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  

   
 
ขณะที่นักแข่งแต่เดิมมีแต่อเมริกา มาคราวนี้มีหลายชาติให้ความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Juan Pablo Montoya อดีตนักแข่ง F1 ชื่อดังที่ทางทีม Chip Ganassi ทุ่มทุนดึงตัวเพื่องานนี้โดยเฉพาะนอกจากนี้ก็มี Marcos Embrose อดีตนักแข่ง V8 supercar จากแดนจิงโจ้ มาร่วมด้วยเช่นกัน และยังมี Darrio Franchitti เคยมาร่วมแจมพักนึง และ Jacques Villeneuve อดีตแชมป์ F1 ก็เคยมาลองของแต่จบลงที่ประสบความสำเร็จในลีกส์รองรวมถึงนักแข่งจากแดนปลาดิบ Hideo Fukuyama เคยลงแข่งในปี 2003 นักแข่งที่ถือว่าเป็นดาวเด่นในยุคที่ได้กล่าวมาข้างต้น มีใครบ้าง ผมให้เลยมีดังนี้ครับ

1.) Jimmie Johnson อดีตแชมป์ สมัย คู่หูดูโอ กับ Jeff Gordon  ถือว่าเป็นนักแข่งที่มีผลงานดีที่สุดในช่วงปี 2006-2010    


2.) Jeff Gordon อดีตแชมป์ 5 สมัยที่ยังมีคนติดตามผลงานเขาอยู่ด้วยการขับที่แบบบ้าบิ่นจนแฟนๆบางคนหมั่นไส้มาแล้ว


  
3.) Dale Earnhardt Jr. ทายาทของ Dale Earnhardt Sr. หลังจากที่อยู่ในทีมของครอบครัวในที่สุดเขาจึงเริ่มสร้างตำนานบทใหม่ด้วยการไปอยู่กับทีม Hendrick Motorsport ถือเป็นอีกคนที่มีแฟนๆติดตามผลงานอยู่


   
4.) Kyle Busch น้องชายของอดีตแชมป์ ปี2004  Kurt Busch ถือว่ามาแรงไม่แพ้สามคนที่กล่าวมาแต่ข้อเสียของเขาคือความผยองในตัวเขาจนหลายคนหมั่นไส้ โดยเฉพาะการแข่งช่วงหนึ่งที่แกคะนองจัดทุ่มรางวัลทิ้งต่อหน้าต่อตา แต่ถึงอย่างไรก็ตามเขาเป็นนักแข่งที่ขับได้ดุดันอีกคนหนึ่ง

     
5.) Trevor Bayne หนุ่มน้อยมาแรงแห่งปี หลังจากในปีที่ที่แล้วในรายการ Daytona 500 เขาหักปากกาเวียนทุกสำนักและทะยานด้วยรถ เบอร์ 21 เอาชนะรายการยิ่งใหญ่และเป็นแชมป์ที่อายุน้อยที่สุดที่เคยมีมาแถมเป็นชัยชนะครั้งแรกของเขา ตอนนี้ถือว่าเป็นที่น่าจับตามองสำหรับหนุ่มคนนี้
                       

6.)  Carl Edwards  อีกหนึ่งคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้แล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นนักแข่งแถวหน้าของวงการหลังจากที่ปีที่แล้วเขาติด1ใน10 ถือว่าเป็นความหวังอีกคนหนึ่งของวงการ และเขาจะมีท่าประจำตัวเวลาชนะ คือโดดตีลังกาจนกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาไปแล้ว

                            

   7.) Tony Stewart อดีตแชมป์ปี 2002,2005 และล่าสุด ปี 2011 ถือว่าเป็นอีกคนไม่ควรมองข้ามหลังจาก 5 ปีที่ผ่านมาเขาพยายามสร้างผลงานจนประสบความสำเร็จได้แชมป์ในปีที่แล้วนั่นเอง

     

8.) Denny Hamlin เจ้าหนูมากพรสวรรค์อีกคนหนึ่งของวงการที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมีการพัฒนามากขึ้นจนเทียบชั้นรุ่นพี่หลายต่อหลายคนมาแล้ว


     จากวันเริ่มต้นถึงวันนี้ NASCAR ยังคงเป็นมอเตอร์สปอร์ตที่ยังได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าใครสนใจเรื่องราวของ NASCAR  ถ้าแบบต้นตำรับขอแนะนำที่ Mooresville  North, Carolina ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นเมืองของ NASCAR เพราะมีหลายทีมตั้งสำนักงานที่นั้น และ NASCAR HALL OF FAME ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไม่กี่ปีนี้เอง ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ ที่รวบรวมเรื่องราวในอดีต จนถึงปัจจุบัน และใช้จัดงานมอบรางวัล Hall of Fame อีกด้วยหรือใครอยากลองประสบการเจ๋งๆ แนะนำที่ Richard Petty Experience ที่เปิดให้กับผู้สนใจลองขับของจริง



 


นี่คือเรื่องราวของ NASCAR ขอบคุณที่ติดตามชม สวัสดีครับ 

เครดิต : http://my.dek-d.com/patboxing Blog ของคุณ  Canonboyz ครับ ขอบคุณครับ ผมมารวบรวมและแก้ไขเล็กน้อยๆ ครับ ขอบคุณครับ

2 ความคิดเห็น: